วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เผยเล่นเวทเบาๆ ประจำช่วยขจัดความเหี่ยว

เผยเล่นเวทเบาๆ ประจำช่วยขจัดความเหี่ยว

การทำเวทเทรนนิ่งหรือการออกกำลังกายด้วยการยกน้ำหนักหรือการออกแรงกายแรงฝืน แรงต้านของน้ำหนักช่วยทำให้กล้ามเนื้อฟื้นสภาพขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้ง

งานวิจัยยันช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อคนชราวัย 71 ให้กลับมาฟิตเปรี๊ยะเต่งตึงเท่ากับอายุ 21

หนังสือพิมพ์เดอะเดลี่เทเลกราฟฉบับออนไลน์ของออสเตรเลียรายงานว่ามีงานวิจัย ล่าสุดจานักวิจัยชาวออสเตรเลียศึกษาพบว่าการทำเวทเทรนนิ่งหรือการออกกำลัง กายด้วยการยกน้ำหนักหรือการออกแรงกายแรงฝืนแรงต้านของน้ำหนักช่วยทำให้กล้าม เนื้อฟื้นสภาพขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้ง

ดร.ไซมอน เมโลฟซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ชายชาวออสเตรเลียที่ทำการวิจัยอยู่ที่รัฐแคลิ ฟอเนียร์ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ทำการศึกษาทดลองจนพบว่าคนแก่ที่ได้รับการฝึก เวทมีการฟื้นฟูและสร้างกล้ามเนื้อใหม่จนมีประสิทธิภาพอยู่ในระดับเดียวกัน กับกล้ามเนื้อของคนหนุ่มสาวปกติที่ไม่ได้เล่นเวท

ดร.เมโลฟซึ่งเป็นผู้อำนวยการด้านการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับความชราภาพ ณ สถาบันบัคเพื่อการวิจัยเรื่องสูงอายุและผู้วิจัยร่วมอีกคนซึ่งมีชื่อวา มาร์ค ทาโนโพลสกี ได้ให้ชายหญิงสุขภาพแข็งแรงดีซึ่งมีอายุเฉลี่ย 70 ปีจำวนทั้งสิ้น 25 คนทำการฝึกเวทเบา ๆ เพียงสัปดาห์ละ 2 ครั้งเป็นเวลาทั้งสิ้น 6 เดือน

โดยทั้งก่อนและหลังการทดลองผู้วิจัยได้นำเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อบริเวณต้น ขาของอาสาสมัครไปตรวจวิเคราะห์ความแข็งแรงเพื่อทำการเปรียบเทียบกันและเนื้อ เยื่อกล้ามเนื้อที่สร้างขึ้นมาใหม่ในคนชราก็ถูกนำไปเปรียบเทียบกับเนื้อ เยื่อกล้ามเนื้อของคนวัยหนุ่มสาวที่ไม่ได้ฝึกยกเวทและมีอายุเฉลี่ยที่ 21 ปีด้วย ทั้งนี้ในการตรวจวิเคราะห์ผลนั้นผู้วิจัยได้ใช้กรรมวิธีที่เรียกว่ายีน เอ็กซ์เพรสชั่นโปรไฟล์สซึ่งเป็นการตรวจแท่งกล้ามเนื้อแห่งความหนุ่มสาว

ยีนเอ็กซ์เพรสชั่นนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อยีนมีการผลิตอาร์เอ็นเอ ซึ่งเป็นโมเลกุลขนาดกลางที่ทำหน้าที่เปลี่ยนถ่ายข้อมูลที่จำเป็นต่อการผลิต โปรตีนซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้ในการทำงานของเซลล์เป็นประจำในแต่ละวัน และหากมียีนเอ็กซ์เพรสชั่นต่ำกว่ามาตรฐานก็จะทำให้โครงสร้างหนึ่งของเซลล์ ซึ่งเรียกว่าไมโตคอนเดรียเกิดความบกพร่องในการทำหน้าที่

สำหรับไมโตคอนเดรียนั้นบางทีก็เรียกกันว่าเป็น “โรงงานผลิตพลังงานของเซลล์”เพราะว่ามันทำหน้าที่ในการผลิตและป้อนเอทีพีให้ กับเซลล์ โดยเอทีพีนี้ก็คือแหล่งที่มาของพลังงานทางเคมีของเซลล์นั่นเอง ทั้งนี้มีการศึกษาก่อนหน้านี้หลายอันพบว่าความบกพร่องในการทำหน้าที่ของไมโต คอนเดรียนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกันกับการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อและความเสื่อม สมรรถภาพในการทำหน้าที่ของกล้ามเนื้อซึ่งมักเกิดกับคนสูงอายุ

และจากการวิจัยนี้เองก็พบด้วยว่าเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อที่นำมาจากผู้สูง อายุที่เข้าร่วมการทดลองจำนวน 14 คนก่อนการทดลองโปรแกรมฝึกเวทแสดงให้เห็นถึงการเสื่อมสมรรถภาพในการทำหน้าที่ ของเซลล์ตามวัย แต่ภายหลังจากได้ฝึกเวทเป็นเวลาตามที่กำหนดแล้วตรวจอีกครั้งก็ได้ผลต่างกัน ในทางที่ดีขึ้น คือพบว่ายีนของผู้เข้าร่วมการวิจัยกลับฟื้นคืนสภาพขึ้นมามากจนอยู่ในระดับ พอๆ กับของคนหนุ่มสาวที่ไม่ได้ทำการฝึกซึ่งได้นำมาตรวจวิเคราะห์เพื่อเปรียบ เทียบกัน

“ในผู้เข้าร่วมการวิจัยบางคนพบว่ากล้ามเนื้อมีความแข็งแรงกว่าของกลุ่มคน หนุ่มสาวด้วยซ้ำไป” ดร.เมโลฟกล่าวและว่าซึ่งสอดคล้องกับการวิจัยอันเก่าที่แสดงให้เห็นว่าคนที่ เข้าร่วมการวิจัยสามารถฟื้นคืนความแข็งแรงกลับมาได้หลังได้ออกกำลังกายเป็น ประจำ

ส่วนในการวิจัยอันล่าสุดนี้พบว่าก่อนให้ฝึกเวทผู้เข้าร่วมการวิจัยสูง อายุมีความแข็งแรงน้อยกว่ากลุ่มคนหนุ่มสาวถึง 59 เปอร์เซ็นต์ทีเดียว นั่นเท่ากับว่าการฝึกเวทช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กลุ่มคนสูงอายุมากขึ้นกว่า เดิมกว่า 50 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียวโดยความแข็งแรงนี้วัดจากความยืดหยุ่นของเข่า ดร.เมโลฟกล่าวด้วยว่าโดยปกติแล้วคนเราจะเริ่มสูญเสียความแข็งแรงของกล้าม เนื้อไปปีละ 1 เปอร์เซ็นต์เมื่อเริ่มเข้าอายุ 40

ที่มา : สำนักข่าวต่างประเทศ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สสส

ขยับวันละนิด ชีวิตเปลี่ยน แค่ขยับ = ออกกำลังกาย

ขยับวันละนิด ชีวิตเปลี่ยน แค่ขยับ = ออกกำลังกาย

การออกกำลังกายง่ายๆ ไม่วุ่นวายอย่างที่คิด เพียงแต่ต้องขยับให้ถูกวิธี

และแล้วความสะดวกสบายก็กลายเป็นภัยเงียบคุกคามสุขภาพคนไทยเข้าจนได้ โรคร้ายแรงและโรคเรื้อรังต่างๆ ที่คนไทยเป็นกันมาก เช่นโรคหัวใจ เบาหวาน มะเร็ง โรคเกี่ยวกับกระดูกและไขข้อ โรคอ้วน รวมถึงโรคที่กำลังมาแรงอย่างอัลไซเมอร์ เมื่อศึกษาหาต้นเหตุก็พบจุดเริ่มต้นสำคัญอย่างหนึ่งคือ เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย มาค้นพบคำตอบ ทำไมเราจึงต้องออกกำลังกาย และเปิดมุมมองใหม่ "แค่ขยับเท่ากับออกกำลังกาย" การออกกำลังกายง่ายๆ ไม่วุ่นวายอย่างที่คิด เพียงแต่ต้องขยับให้ถูกหลักถูกวิธี

และใครอยากรู้ว่าต้องขยับอย่างไร ขยับแค่ไหนจึงจะเท่ากับการออกกำลังกาย ต้องขยับเข้ามาใกล้อีกนิด จะกระชับเรื่องดีๆ ให้ฟัง…

ถ้าคุณเคยคิดว่า ชีวิตที่สุขสบายคือชีวิตที่ไม่ต้องทำอะไรเห็นทีต้องรีบเปลี่ยนความคิดใหม่ เพราะความสบายในวันนี้จะนำมาซึ่งความทุกข์ในวันหน้า ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก ระบุว่าสาเหตุหลักของโรคร้ายที่คนยุคนี้กำลังเผชิญและต้องเสียทรัพย์สินใน การรักษากันมากมาย เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคอ้วนและโรคมะเร็งบางชนิด เกิดจากการขาดการเคลื่อนไหวออกแรงหรือขาดการออกกำลังกาย ซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิตมากกว่า 2 ล้านรายต่อปี นับเป็นการสูญเสียที่น่าเสียดาย เพราะแท้จริงแล้วโรคเหล่านี้ป้องกันได้ด้วยตัวของผู้ป่วยเองคือกินอาหารที่ เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ที่สำคัญให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวออกแรงหรือออกกำลังกายเป็นประจำ

ขณะที่การศึกษาทางการแพทย์หลายชิ้นก็พบว่า คนที่เคลื่อนไหวร่างกายน้อย ร่างกายจะไม่แข็งแรง ภูมิต้านทานลดลง มีโอกาสป่วยเป็นโรคต่างๆ มากขึ้นและจะทำให้มีอายุสั้นกว่าคนที่มีการเคลื่อนไหวหรือออกกำลังกายสม่ำ เสมอ

โรคของคนเคลื่อนไหวน้อย "เคาซ์โปเตโต้" ก็คือคนที่นั่งแช่ดูโทรทัศน์หรือเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์วันละ นานๆ ที่มาของ "เคาซ์โปเตโต้" (Couch Potato)คำว่า Couch หมายถึง ที่นอน เก้าอี้นอน เก้าอี้โซฟา ส่วน Potato ก็คือมันฝรั่ง คำนี้เกิดจากวิถีชีวิตของชาวอเมริกันในยุคสมัยหนึ่งที่วันๆ เอาแต่นั่งนอนดูทีวีบนที่นอนหรือโซฟา นอนดูไปกินขนมไป จิบเบียร์ไป ร่างกายแทบไม่ได้เคลื่อนไหวเลย ที่สุดคนกลุ่มนี้ก็เริ่มอ้วน และป่วยเป็นโรคต่างๆ เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน ฯลฯ

ทุกวันนี้มีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ใช้ชีวิตแบบ "เคาซ์โปเตโต้" มีการเคลื่อนไหวร่างกายน้อย ติดสิ่งอำนวยความสะดวกมากเกินไป นั่งอยู่กับที่ดูทีวี เล่นเกมวิดีโอ หรือเกมคอมพิวเตอร์ ฯลฯ

เผยวิธีกินอยู่อย่างปลอดภัยได้คุณค่าในหน้าร้อน

เผยวิธีกินอยู่อย่างปลอดภัยได้คุณค่าในหน้าร้อน

ป้องกันการติดเชื้อโรคระบบทางเดินอาหาร-น้ำ

ช่วงฤดูร้อนของทุกๆ ปี จะเป็นช่วงที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารมากที่สุดโดยเฉพาะ โรคอุจจาระร่วง ในทุกๆ ปีจะพบว่าคนไทยเจ็บป่วยและเสียชีวิตมากที่สุด ทั้งๆ ที่เป็นโรคที่สามารถควบคุมและป้องกันได้

สาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคทางเดินอาหารก็เพราะการบริโภคอาหารและน้ำที่มี การปนเปื้อนเชื้อโรค ซึ่งในฤดูร้อนเชื้อโรคนี้จะเจริญเติบโตได้ดี และแพร่กรายได้อย่างรวดเร็ว

ผู้บริโภคอาหารทุกคน จะต้องให้ความสำคัญและเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษในการกินอาหารในฤดูร้อน จะต้องกินอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ ไม่มีแมลงวันตอม หากเป็นอาหารที่ซื้อนอกบ้าน ต้องมั่นใจว่าเป็นอาหารที่สะอาดใส่ในภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด ป้องกันไม่ให้แมลงวันตอม และควรนำมาอุ่นให้ร้อนก่อนกินทุกครั้งและที่สำคัญควรเลือกซื้ออาหารจากร้าน ที่สะอาดและไว้ใจได้ น้ำดื่มก็เช่นกันต้องดื่มน้ำสะอาด หากไม่มั่นใจควรดื่มน้ำต้มทุกครั้ง

นอกจากนี้ในหน้าร้อนเราควรรู้จักเลือกกินอาหารให้ถูกหลักโภชนาการกล่าว คือ กินอาหารที่มีคุณค่า แต่มีไขมันต่ำและย่อยง่าย เช่นกินปลาแทนเนื้อสัตว์อย่าง อื่นให้มากขึ้น เพราะย่อยง่ายมีไขมันต่ำแต่มีโปรตีนสูง และราคาไม่แพง ส่วนผักผลไม้ให้สะอาดก่อนกิน ดื่มน้ำสะอาดให้มากอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพราะน้ำจะช่วยผ่อนคลายความร้อน ดื่มน้ำเปล่าดีที่สุด หากจะใสน้ำแข็งในน้ำดื่ม ต้องมั่นใจว่าเป็นน้ำแข็งที่สะอาดไม่ปนเปื้อนเชื้อโรค

ร้อนนี้การกินอาหารที่มีคุณค่า และอาหารที่สุก สะอาด ปราศจากการปนเปื้อนเชื้อโรคจะเป็นการป้องกันให้ท่านรอดพ้นจากภาวะการเจ็บ ป่วยด้วยโรคทางเดินอาหารและท่านจะมีภาวะโภชนาการดี สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ตลอดช่วงฤดูร้อนนี้

อาหารดี มีคุณค่า แต่ถ้าสกปรกและปนเปื้อนขอเตือนว่าอันตรายต่อสุขภาพแน่

ที่มา : thaihealth.or.th

วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552

อาหารกับกรุ๊ปเลือด

อาหารกับกรุ๊ปเลือด

วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องกรุ๊ปเลือดอะไรควรและไม่ควรรับประทานอะไรบ้าง มาบอกัน….

กรุ๊ป O

กรุ๊ปเลือดที่มีสุขภาพแข็งแรงดี สามารถรับประทานเนื้อสัตว์ได้ทุกชนิด เพราะน้ำย่อยในกระเพาะอาหารมีความเป็นกรดสูง สามารถย่อยโปรตีนได้ง่าย

แต่มักจะมีปัญหาเลือดแข็งตัวช้า ทำให้ระบบเผาผลาญพลังงานไม่ดีนัก ดังนั้น อาหารที่ควรรับประทาน ได้แก่ เนื้อสัตว์ที่ไม่มีไขมันมาก โดยเฉพาะเนื้อหมู ซึ่งร่างกายสามารถย่อยได้ง่ายอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคแผลเน่าเปื่อย หรือเกิดการอักเสบได้ง่ายกว่าคนที่มีกรุ๊ปเลือดอื่น ๆ อีกด้วย

และควรเลือกรับประทาน ผักใบเขียวเพื่อที่จะได้รับวิตามินเค จะช่วยทำให้เลือดแข็งตัวเร็วขึ้น นอกจากผักใบเขียวแล้ว คนกรุ๊ปเลือดนี้ ควรรับประทาน มะเขือเทศ แครอท และน้ำผลไม้รวม เพื่อเพิ่มเบต้าแคโรทีน ที่ช่วยบำรุงสายตา และควรออกกำลังกายที่ใช้พลังงานมาก เช่น การแอโรบิค ว่ายน้ำ จะทำให้ช่วยคุมน้ำหนักให้คงที่ได้เป็นอย่างดี

กรุ๊ป A

กรุ๊ปเลือดนี้ เหมาะกับอาหารประเภทข้าว แป้ง และผัก ผลไม้เป็นที่สุด

กรุ๊ปเลือด A จะอ่อนไหวต่อโรคมะเร็งมากกว่า หมู่อื่น ๆ ควรลดหรือละเว้น นม เนื่องจากแอนติเจนที่อยู่ในเซลล์ของกรุ๊ปเลือด A เอง และเนื่องจากน้ำย่อยในกระเพาะอาหารมีความเป็นกรดต่ำ กรุ๊ปเลือดนี้ จึงไม่ควรรับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ และอาหารสำเร็จรูปที่มีสารไนไตรท์มาก อาหารที่ควรเลือกรับประทานได้แก่ อาหารทะเล ผักต่าง ๆ และธัญพืช เช่น ซีเรียลโฮลวีท ที่มีใยอาหาร ช่วยในการทำงานของระบบย่อยอาหาร วิตามินบี เพื่อช่วยการทำงานของระบบประสาท และเม็ดเลือดแดงให้แข็งแรง

ข้อควรระวัง สำหรับกรุ๊ปเลือดนี้ คือ ความเครียด การออกกำลังกาย ที่ใช้พลังงานมาก กลับยิ่งเพิ่มความเครียดให้กับระบบภูมิคุ้มกัน ดังนั้น จึงควรฝึกโยคะ นั่งสมาธิ หรือเต้นระบำเพื่อรักษาสมดุลตามธรรมชาติ

กรุ๊ป B

กรุ๊ปเลือดนี้ จะรับประทานได้หลากหลาย ทั้งเนื้อ นม ไข่ ผัก ผลไม้

แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีไปเสียหมด เพราะจุดอ่อนอยู่ตรงที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ ดังนั้น จึงควรเสริมอาหารที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย เช่น ผักใบเขียว ผลไม้สด ข้าวกล้อง นมและผลิตภัณฑ์จากนม ส่วนการออกกำลังกาย สามารถทำได้หลากหลายเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น แอโรบิค ว่ายน้ำ ตีกอล์ฟ หรือแม้แต่โยคะ

กรุ๊ป AB

กรุ๊ปเลือดสุดท้าย คือเป็นได้ทั้ง แบบกรุ๊ป A และกรุ๊ป B จึงสามารถรับประทานได้ทั้ง 2 กรุ๊ปเลือดตามใจชอบ

แต่ควรที่จะหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันมาก และเนื้อสัตว์ที่ย่อยยาก เนื่องจากน้ำย่อยมีความเป็นกรดต่ำ จึงทำให้ย่อยโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ไม่ค่อยดีนัก มักจะมีกรดเกิดขึ้นมาก ในท้องส่วนล่าง หรือลำไส้ใหญ่ อาจสังเกตได้ง่ายๆ ถ้ามีอาการผิดปกติ คือ จะเรอบ่อย

อาหารที่ควรรับประทาน เช่น อาหารทะเล ผักสด เต้าหู้ ผลไม้จำพวกส้มโอ องุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโยเกิร์ต เนื่องจากจะช่วยในการย่อย กระเพราะอาหารไม่ต้องทำงานหนักมากเกินไป และควรดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ เพื่อขับไล่ของเสียในร่างกายที่มีมากกว่ากรุ๊ปเลือดอื่น ส่วนการออกกำลังกาย เลือกที่ทำให้จิตใจสงบมีสมาธิ อย่างเช่น โยคะ ยิงธนู เป็นต้น

รู้อย่างนี้แล้ว ลองหันมารับประทานอาหารตามกรุ๊ปเลือดกันดู เพื่อสุขภาพที่ดี.

ข้อมูลจาก : ladyfogus.com

หุ่นสวยด้วย 5 ท่าโปรด

หุ่นสวยด้วย 5 ท่าโปรด

5 ท่าต่อไปนี้เป็นท่าลดไขมันที่ทำได้สบายๆ ไม่กินแรงมาก แต่ให้ผลดีในการสลายไขมันเฉพาะจุด เอาไปทำกันดูนะ

1. เรียกเหงื่อก่อนเอาจริง ก่อนจะเข้าสู่ท่าลดไขมันควรจะกระตุ้นร่างกายเพื่อปลุกระบบการไหลเวียนโลหิต ซะก่อน ด้วยการกระโดดเชือกประมาณ 1 นาที เพื่อให้กล้ามเนื้อกระฉับกระเฉงพร้อมต่อการออกกำลังต่อไป

2. ลดไขมันใต้วงแขน ไขมันมักจะไปกองรวมกันที่ใต้ท้องแขน พอแกว่งแขนไขมันก็จะสั่นไปด้วย ถ้าอยากจะลดไขมันในจุดนี้ให้ได้สาวแซ่บต้องลงทุนซื้อดัมเบลล์หนักประมาณ 300 กรัมมาสักคู่หนึ่ง ยืนกางขาเล็กน้อย เหยียดหลังตรง ถือดัมเบลล์ไว้มือละอัน คว่ำมือลง กางแขนทั้งสองข้างออกไปให้อยู่ในระดับบ่า ค้างไว้ประมาณ 1 นาที จากนั้นค่อยๆ ปล่อยแขนลง ทำติดต่อกัน 10-15 ครั้งเป็น 1 เซ็ต ระหว่างที่กางแขนควรก้มหน้าลงเล็กน้อยจะทำให้รู้สึกผ่อนคลายยิ่งขึ้น

3. แผ่นหลังเรียบแนียน ไขมันที่แผ่นหลังก็มีมากไม่แพ้ที่อื่นเหมือนกัน ถ้าอยากรู้ว่าคุณมีไขมันที่หลังเยอะแค่ไหนก็ลองสังเกตจากก้อนเนื้อเป็นลูกๆ ที่โผล่ขึ้นมาเวลาใส่เสื้อชั้นในก็ได้ ท่าบริหารแผ่นหลังเริ่มจากการทำท่าคลานกับพื้น จากนั้นงอเข่าขวาให้ลอยขึ้นจากพื้นพร้อมกับงอข้อศอกด้วย ให้แขนและฝ่ามือลอยขึ้นขนาบกับพื้นค้างไว้ในท่านี้ประมาณ 15 วินาที แล้วสลับไปทำกับแขนและขาอีกข้างหนึ่ง ทำซ้ำข้างละ 4 ครั้ง เป็น 1 เซ็ต

4. หน้าท้องเนียนสวย ท่านี้ควรทำบนพรมหรือเบาะบางๆ เพื่อเซฟกระดูกสันหลัง นอนเหยียดยาวตัวตรง เท้าชิด วางแขนแนบกับลำตัว จากนั้นงอเข่าขึ้นแต่ยังให้ส้นเท้าแตะพื้นอยู่ ค่อยๆ ยกศีรษะกับลำตัวท่อนบนไปหาเข่าให้ใกล้ที่สุดเกร็งหน้าท้องค้างไว้ 10 วินาที แล้วปล่อยตัวลงนอน เซ็ต 1 ทำ 10 ครั้ง หลังจากทำไประยะหนึ่งแล้วควรค้างไว้ให้นานขึ้น อาจจะเป็น 30-60 วินาที หน้าท้องจะได้ยุบเร็วๆ

5. บั้นท้ายกระชับ นอนเหยียดตัวตรง แขนวางราบกับพื้นแนบลำตัว งอเข่าตั้งให้ฝ่าเท้าแนบพื้นจากนั้นยกข้อเท้าไปพาดอยู่บนเข่าของขาอีกข้าง หนึ่ง พร้อมกับยกก้นและแผ่นหลังขึ้นจากพื้น ให้ทำค้างอยู่ในท่านี้ประมาณ 30 วินาที หรือนับ 1-30 แล้วจึงค่อยสลับไปทำกับขาอีกข้างหนึ่ง ทำ 10 ครั้งเป็น 1 เซ็ต

ที่มา : Spicy

“กินเปลือกแอปเปิลไม่ต้องหาหมอ” มีสารที่มีคุณ ประโยชน์ 10 ชนิด

“กินเปลือกแอปเปิลไม่ต้องหาหมอ” มีสารที่มีคุณ ประโยชน์ 10 ชนิด

คำพังเพยมานมนานที่ว่า “กินแอปเปิลวันละลูก ไม่ต้องไปหาหมอ” นั้น นักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์อันมีชื่อเสียงของสหรัฐฯ พบในการศึกษาว่า ที่ถูกควรจะพูดว่า “กินเปลือกแอปเปิลวันละลูก ไม่ต้องไปหาหมอ” มากกว่า

นักวิจัยได้ค้นพบสารประกอบสิบกว่าชนิดในเปลือกแอปเปิล โดยเฉพาะสาร “ไตรเตอเปนอยด์” ว่ามีสรรพคุณในการยับยั้งหรือฆ่าเซลล์มะเร็งที่เพาะขึ้นในห้องปฏิบัติการ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์รุย ไฮ หลิว แห่งภาควิชาวิทยาศาสตร์การอาหารและผู้ศึกษาอาวุโสกล่าวว่า “เราพบสารประกอบซึ่งมีอำนาจมากในการยับยั้งการแพร่ขยายของเซลล์มะเร็งตับ ลำไส้ และมะเร็งทรวงอกในมนุษย์ และมันอาจจะมีส่วนในด้านการต่อต้านมะเร็งของแอปเปิลทั้งลูก

มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์เคยศึกษาพบมาก่อนว่า แอปเปิลมีอิทธิฤทธิ์ในการต่อสู้เซลล์มะเร็งในห้องปฏิบัติการทดลอง ทั้งยังสามารถทำให้ ปริมาณและขนาดของเนื้อร้ายที่ทรวงอกของหนูลดลงด้วย และพวกนักวิจัยปัจจุบันเชื่อว่าสารไตรเตอเปนอยด์ อาจจะเป็นตัวการใหญ่ในการสู้รบกับมะเร็ง”.

พบสารก่อมะเร็งพริกป่นสูงลิ่ว "ผักสดกะเพรา"ยาฆ่าแมลงอื้อ

พบสารก่อมะเร็งพริกป่นสูงลิ่ว "ผักสด-กะเพรา"ยาฆ่าแมลงอื้อ

นพ.มรกต กรเกษม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังตรวจเยี่ยมติดตามการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุขของ รัฐบาล ที่จังหวัดสิงห์บุรี และจังหวัดชัยนาทว่า จากการตรวจสารอันตรายตกค้างในอาหารในเดือนมกราคม- มีนาคม 2550 ทั้งหมด 29,245 ตัวอย่าง ยังพบสารอันตรายปนเปื้อน 220 ตัวอย่าง มากที่สุดได้แก่ สารเร่งเนื้อแดงพบในเนื้อหมู 6 ตัวอย่างจากที่ตรวจทั้งหมด 263 ตัวอย่าง รองลงมาคือยาฆ่าแมลงในผักสด พบมากถึง 186 ตัวอย่างจากที่ตรวจ 16,301 ตัวอย่าง ในผักคะน้า กวางตุ้ง ขึ้นฉ่าย ถั่วฝักยาว ผักชีทุกชนิด พริกสดทุกชนิด มะเขือเทศ ใบกะเพรา โหระพา หน่อไม้ฝรั่ง แขนงกะหล่ำปลี ถั่วลันเตา ต้นหอม ถั่วพู ผักกาดเกือบทุกชนิด รวมทั้งพบในส้มโชกุน องุ่นไร้เมล็ด ชมพู่ ส้มเช้ง

นพ.มรกตกล่าวว่า ผักดอง เช่น ผักกาดดอง ผักกุ่มดอง พบสารกันราเจือปน 3 ตัวอย่างจาก 1,108 ตัวอย่าง นอกจากนี้ ยังพบการใช้น้ำยาดองศพหรือฟอร์มาลิน ซึ่งมีพิษทำลายเซลล์ในร่างกาย ทำให้ปวดท้องรุนแรง อาเจียน ท้องเดิน หมดสติและเสียชีวิตได้ ในสไบนาง ปลาหมึกกรอบ แมงกะพรุน จำนวน 4 ตัวอย่างจากที่ตรวจ 2,822 ตัวอย่าง ส่วนอาหารประเภทเนื้อสัตว์ หมูบด ทอดมัน ลูกชิ้น กุนเชียง และอาหารสำเร็จรูป เช่น เผือกทอด ขนมเทียนไส้เค็ม ตรวจพบสารบอแรกซ์ซึ่งทำให้กรอบและใช้กันบูดเสีย มีพิษทำให้ไตวาย อาเจียนเป็นเลือด และตายได้ จำนวน 21 ตัวอย่างจากที่ตรวจ 6,955 ตัวอย่าง ที่น่าตกใจก็คือพบสารอะฟลาท็อกซิน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งตับ ในพริกป่น พริกแห้ง ถั่วลิสงป่น ถั่วลิสงแห้งมากถึงร้อยละ 21 ในปีนี้กระทรวงสาธารณสุขได้เร่งนโยบายให้ทุกจังหวัดมีการสุ่มตรวจในตลาดสด ตลาดนัด ซุปเปอร์มาร์เก็ตอย่างต่อเนื่อง และมอบป้ายอาหารปลอดภัยให้แผงที่ตรวจไม่พบสารตกค้างอันตราย
ข้อมูลจาก : saradee.net

วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ประโยชน์ของหน่อไม้

ประโยชน์ของหน่อไม้

ใครที่ชอบทานหน่อไม้ รู้หรือไม่ว่าหน่อไม้มีประโยชน์อย่างไรต่อร่างกาย วันนี้เกร็ดความรู้มีคำตอบเรื่องนี้มาบอกกัน…

หน่อไม้มีคุณค่าทางอาหารสูง ทั้งโปรตีน วิตามิน และที่สำคัญมีกรดอะมิโนที่ร่างกายผลิตเองไม่ได้ ต้องนำเข้าจากอาหารประเภทต่าง ๆ นอกจากนั้นหน่อไม้ยังมีกากใยอาหารที่ช่วยให้ร่างกายนำกากและสารพิษออกสู่ภาย นอกได้เร็ว โดยการดูดน้ำและเพิ่มปริมาตรให้ตัวกากให้มากขึ้น จนร่างกายต้องส่งออกฉับพลัน

ทั้งนี้หน่อไม้เมื่อผ่านการย่อยแล้ว ประโยชน์ที่ได้รับจากการรับประทานหน่อไม้ คือ ร่างกายก็จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ส่วนกากอาหารที่เหลือ หรือสารพิษต่าง ๆ เช่น ยาฆ่าแมลง โลหะหนักต่างๆหรือพวกไนไตรท์ ก็จะไปรวมกันที่ลำไส้ใหญ่ แต่ถ้ามีกากใยอาหารมาก ๆ กากใยอาหารเหล่านี้จะช่วยดูดน้ำและเพิ่มปริมาณ ทำให้กากอาหารเหล่านี้ มีน้ำหนักมากจะเคลื่อนขบวนออกสู่โลกภายนอกได้เร็ว กากใยอาหารจึงช่วยลดการเกิด มะเร็งลำไส้ใหญ่

หน่อไม้สามารถนำไปแปรรูปให้เป็นอาหารได้หลายชนิด เช่น หน่อไม้สด ๆ ต้มกับกระดูกหมู แกงคั่วหน่อไม้ หรือจะต้มเอาไว้จิ้มน้ำพริก ทำซุปหน่อไม้ ส่วนความขมของหน่อไม้ต้องดับด้วยน้ำคั้นใบย่านาง แล้วหน่อไม้ก็จะหวาน สามารถนำไปจิ้มน้ำพริกหรือทำซุปก็ได้รสกลมกล่อม ถ้าอยากเก็บหน่อไม้ไว้กินนอกฤดู ก็ต้องดองหน่อไม้ให้เป็นหน่อไม้เปรี้ยวเอาไว้ทำแกงส้ม แกงคั่วได้

วิธีดองหน่อไม้ คือ เพียงแค่หั่นหน่อไม้สดเป็นชิ้นบาง หาเกลือมาคลุกเคล้าพอประมาณ หาโหลหรือขวดแก้วมาใส่หน่อไม้ อัดหน่อไม้ให้แน่นเติมน้ำสะอาด ปิดฝาทิ้งไว้รอเวลานอกฤดู แต่ถ้าอยากกินเร็วก็ให้ใส่น้ำซาวข้าวแทนน้ำสะอาดเพราะจะทำให้หน่อไม้เปรี้ยว เร็ว

รู้อย่างนี้แล้ว ลองหันมาทานหน่อไม้กันดูได้ เพื่อสุขภาพที่ดี.

อาหาร 7 อย่างที่พึงเลี่ยงเมื่อท้องว่าง

อาหาร 7 อย่างที่พึงเลี่ยงเมื่อท้องว่าง

เมื่อคนมันหิว อะไรใกล้มือก็มักจะคว้าเข้าปากกันไปก่อน ใครมีนิสัยอย่างนี้ขอให้ลองปรับตัวเสียใหม่

เพราะอาหารบางอย่างอาจเป็นเมนูที่ไม่ ค่อยเหมาะกับร่างกายในยามนั้นได้ “7 เมนูที่ควรหลีกเลี่ยงยามท้องว่าง” ที่จะนำมาบอกกล่าวในครั้งนี้ นำมาจากคอลัมน์ “สุขกาย” ในจดหมายข่าว “สร้างสุข” ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เดือนพฤษภาคม 2550 มีรายการดังต่อไปนี้

1. เหล้า กระเทียม ทั้งสองอย่างนี้จะยิ่งกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ส่งผลให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้

2. น้ำตาลหรืออาหารหวาน เช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต เพราะจะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาล ส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิด และลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต

3. ชาแก่ จะทำ ให้กรดเกลือของน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือ จาง เกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่ มีแรง

4. ลูกพลับ เป็นตัวกระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดเกลือออกมามาก ทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร

5. กล้วย เพราะจะเพิ่มธาตุแมกนีเซียมในเลือดให้สูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียม เป็นการยับยั้งการทำงานของหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก

6. ผัก เพราะหากรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้ท้องอืด

7. นมและถั่วเหลือง แม้จะอุดมด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อกระเพาะอาหารมีสารประเภทแป้งอยู่

แถมท้ายอีกนิดว่า ขณะท้องว่างไม่ควรอาบน้ำและออกกำลังกาย เพราะอาจทำให้เกิดอาการช็อกได้ง่าย เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำ.

กินไข่ทุกวันทำหุ่นดี

กินไข่ทุกวันทำหุ่นดี

สาวหุ่นนางแบบมักจะไม่ค่อยยอมกินไข่กัน โดยเฉพาะไข่แดงเพราะมีแคลอรีสูงเอาการ แต่ตอนนี้มีการทดลองมาใหม่ที่เชื่อถือได้

มหาวิทยาลัยหลุยส์เซียนาในสหรัฐฯ ยืนยันมาว่า ถ้ากินไข่เป็นอาหารเช้าทุกวัน กลับจะทำให้เพรียวลมและรอบเอวลดได้ง่ายกว่าการกินอาหารอื่นถึง 65% แน่ะ เนื่องจากไข่เป็นอาหารที่ให้พลังงานสูงและมีโปรตีนมาก จึงกินแล้วอิ่มทนอิ่มนานก็จะทำให้ไม่หิวระหว่างมื้อ และมีพลังงานที่จะเคลื่อนไหวได้เต็มที่ นักไดเอททั้งหลายจึงผอมลงได้ง่ายกว่าการไปทานอาหารเบาๆ ท้องแคลอรีต่ำ แต่ทำให้หิวบ่อยจนต้องหาของว่างระหว่างมื้อมาแก้ขัด เพราะว่าการกินจุบจิบระหว่างมื้อนี่ล่ะ ตัวทำอ้วนดีนักเชียว !!..

ที่มา : Spicy

อยากหุ่นดีต้องเลิกง้อลิฟท์

อยากหุ่นดีต้องเลิกง้อลิฟท์

น่าตีนักเชียวสำหรับคนที่อ้างว่าไม่มีเวลาออกกำลังกายจนปล่อยให้พุงห้อย สะโพกย้วย เพราะของดีก็อยู่ใกล้ตัวแล้ว คุณไม่ยอมใช้เองตะหากล่ะ…

ของดีที่ว่าก็คือบันไดนั่นเอง ถ้าสาวแซ่บเลิกใช้ลิฟท์แล้วเปลี่ยนมาเดินขึ้นบันไดแทนประมาณ 15 นาที คุณจะได้ใช้พลังงานไปประมาณ 150 แคลอรี่ต่อครั้ง คิดดูว่าถ้าเดินขึ้นเดินลงสักวันละ 5 รอบ ก็ลดไปได้ตั้ง 600 แคลอรี่แล้ว นอกจากข้อดีอื่นๆ ของการออกกำลังแบบขึ้น- ลงบันไดยังมีอีกหลายข้อ

+ เป็นการออกกำลังแบบแอโรบิกที่จะทำให้หัวใจแข็งแรง
+กล้ามเนื้อต้นขา น่อง และก้นแข็งแรง ตึงแน่น ไม่ย้อยไปตามวัย
+ ทำได้ทุกเวลา
+ มีอาการปวดข้อน้อยกว่าการวิ่ง
+ การขึ้นบันไดสำหรับหญิงวัยทอง ช่วยเสริมสร้างกระดูกได้ด้วย
+ การไม่ใช้ลิฟท์ทำให้ไม่เปลืองไฟ เป็นการช่วยชาติประหยัดพลังงาน

งดใช้ลิฟท์แค่วันละไม่กี่ครั้งแลกกับให้ห่วงยางที่อวหายไป .. คุ้มจริง ๆ !!

ที่มา : Spicy

วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เรื่องน่ารู้ยามตั้งครรภ์

เรื่องน่ารู้ยามตั้งครรภ์

คุณแม่ที่อยู่ในระหว่างตั้งครรภ์ นอกจากจะต้องเผชิญกับอาการแทรกซ้อนต่างๆ แล้ว พบว่า บางครั้งอาจมีอาการอ่อนเพลียเกิดขึ้นได้ ก็ไม่ต้องแปลกใจหากจะได้ยินคุณแม่บ่นว่า รู้สึกเหนื่อยง่ายอะไรทำนองนี้ ไม่เพียงแค่บ่น คุณแม่บางท่านยังรู้สึกวิตกกังวลกับอาการอ่อนเพลียดังกล่าว เกรงว่าจะมีความผิดปกติกับทารกในครรภ์ด้วย

จริงๆ แล้ว อาการอ่อนเพลียในระหว่างตั้งครรภ์ เป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้ จึงอย่าเก็บมากังวลให้มากนัก ถ้าอยากให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าขึ้น คุณแม่ควรหาเวลาเอนหลัง พักผ่อนสัก 2 ชั่วโมง ในแต่ละวันก็จะช่วยได้มาก แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็อาจหาเวลาผ่อนคลายร่างกาย อย่างน้อย 10 นาทีทุกวัน อย่างเช่น การทำสมาธิ เป็นต้น

นอกจากนั้น ให้พยายามอย่านอนดึก ถ้าเป็นไปได้ควรเข้านอนแต่หัวค่ำเป็นประจำทุกคืน แต่ในกรณีที่คุณแม่มีลูกเล็กๆ ที่ยังคงต้องดูแล ควรหาคนมาช่วยแบ่งเบาภาระลงไปบ้าง จะได้พักผ่อนได้อย่างเต็มที่

แม้ว่าอาการอ่อนเพลีย จะเป็นเรื่องปกติที่สามารถพบได้ แต่ก็อย่าชะล่าใจ หากมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เป็นต้นว่า เวียนศีรษะ, หายใจไม่ทัน เพราะอาจเป็นอาการของโรคโลหิตจางได้ โรคโลหิตจางไม่เป็นผลดีต่อการตั้งครรภ์แน่ ดังนั้น หากมีอาการอ่อนเพลียร่วมกับอาการอื่นๆ ดังกล่าว คุณแม่อาจปฏิบัติตัวดังนี้ คือ เริ่มจากดูแลตนเองในเบื้องต้น ด้วยการรับประทานอาหารที่อุดมด้วยแร่เหล็กเพิ่มขึ้น เช่น ตับ, เนื้อไม่มีมัน, ข้าวกล้อง, ผักใบเขียว, ถั่วต่างๆเป็นต้น และเพื่อความมั่นใจควรไปปรึกษาสูติแพทย์ จะได้ทำการตรวจวินิจฉัยให้แน่ใจ ในกรณีที่พบว่าเป็นอาการของโรคโลหิตจางจริง แพทย์จะพิจารณาให้วิตามินเสริมธาตุเหล็ก รับประทานตามความเหมาะสม ที่สำคัญคือ คุณแม่อย่าวินิจฉัยเอง หรือรักษาตัวเอง เพราะอาจเข้าใจผิด หรือรักษาผิดแนวทาง ซึ่งจะเป็นผลเสียทั้งต่อตัวคุณแม่ และพาลไปถึงลูกน้อยในครรภ์ด้วย

อีกเรื่องที่บรรดาคุณแม่มักสงสัย หากรับประทานอาหารแต่ละมื้ออย่างครบถ้วน ยาบำรุงครรภ์ยังมีความจำเป็นอีกหรือไม่ อยากเรียนให้ทราบว่า แม้อาหารที่รับประทานจะครบถ้วน กระนั้น ก็ยังมีแร่ธาตุและวิตามินไม่เพียงพออยู่ดี จึงจำเป็นที่คุณแม่จะต้องรับประทานยาบำรุงครรภ์อย่างต่อเนื่องตลอดการตั้ง ครรภ์

ส่วนที่ว่าทำไมแร่ธาตุและวิตามินที่ได้รับจากอาหารถึงไม่เพียงพอ ข้อนี้มีคำอธิบายง่ายๆครับ เนื่องจากทารกที่กำลังเจริญเติบโตอยู่ในครรภ์นั้น จำเป็นต้องใช้ธาตุอาหารต่างๆ เป็นจำนวนมากนั่นเอง

ยกตัวอย่างเช่น ขณะที่ทารกมีการสร้างสมอง และระบบประสาท จำเป็นต้องอาศัย “วิตามินบี” ในปริมาณมาก เช่นเดียวกับการสร้างกระดูก ที่ต้องการ “แคลเซียม” จำนวนมากเช่นกัน หรือการที่ร่างกายต้องการ “ธาตุเหล็ก” ในการสร้างเม็ดเลือดเพิ่มขึ้น เนื่องจากระหว่างตั้งครรภ์ ร่างกายของคุณแม่จะมีการสร้างเม็ดเลือดแดงมากขึ้นกว่าเดิม เพื่อที่จะสามารถนำอาหารและออกซิเจน ไปเลี้ยงทั้งตัวคุณแม่และลูกน้อยได้อย่างเพียงพอ


คงเห็นถึงความจำเป็นของยาบำรุงครรภ์กันแล้วนะครับ ดังนั้น หากคุณแม่ไปฝากครรภ์ แล้วได้รับยาบำรุงครรภ์ ควรรับประทานยาตามที่แพทย์จัดให้อย่างเคร่งครัด ประเภทรับประทานบ้าง หยุดบ้าง บางทีก็อ้างว่าลืม อย่างนี้มีแต่เป็นผลเสีย ถ้าไม่คิดถึงสุขภาพของตนเอง ก็น่าจะคำนึงถึงสุขภาพที่ดีของทารกน้อยในครรภ์เอาไว้ให้มากๆ

การดูแล…บาดแผล

การดูแล…บาดแผล

เมื่อมีบาดแผลเกิดขึ้น ร่างกายของคนเราจะมีกลไกในการซ่อมแซมตนเอง นั่นคือ มีกระบวนการหายของแผลเกิดขึ้น แม้ว่าการหายของแผลจะเป็นกระบวนการตามธรรมชาติ แต่จำเป็นต้องอาศัยปัจจัยหลายประการ มาสนับสนุนให้กระบวนการดังกล่าว ดำเนินไปอย่างราบรื่น เราอาจส่งเสริมให้แผลมีการหายได้เร็วเท่าที่สามารถจะเป็นไปได้ครับ

* เลือกรับประทานอาหารที่มีคุณค่า หรือประโยชน์ต่อร่างกาย กระบวนการหายของแผลจะไม่เป็นไปตามปกติ หากขาดสารอาหารดังต่อไปนี้
- โปรตีน เป็นสารอาหารที่จำเป็นที่สุดต่อการหายของแผล โดยร่างกายจะย่อยโปรตีนจากอาหาร และนำไปใช้ในการสร้างใยคอลลาเจน นอกจากนี้ โปรตีนยังมีความสำคัญต่อระบบการป้องกันของร่างกาย ช่วยลดโอกาสที่ร่างกายจะติดเชื้อได้ง่ายอีกด้วย

- กลูโคส เป็นสารที่ให้พลังงาน ถ้าขาดพลังงานจากกลูโคส ร่างกายจะดึงเอาพลังงานจากสารอาหารอื่นมาใช้ โดยเฉพาะโปรตีน ทำให้ได้ประโยชน์จากสารอาหารโปรตีนลดลง

- วิตามินซี มีบทบาทสำคัญในการหายของแผล เพราะเป็นสารจำเป็นในการสังเคราะห์ใยคอลลาเจนและเส้นเลือดฝอย และเนื่องจากเป็นวิตามินที่ไม่มีการเก็บสะสมไว้ในร่างกาย จึงควรเลือกรับประทานผักผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซี เช่น ส้ม, ฝรั่ง, กะหล่ำปลี, มะเขือเทศ, ผักใบเขียว เป็นต้น

- วิตามินเอ มีความจำเป็นในการสังเคราะห์ใยคอลลาเจน และการงอกของหนังกำพร้า พบมากในอาหารจำพวกปลา, ตับ, นม และผลิตภัณฑ์จากนม

- สังกะสีและทองแดง โดยสังกะสีจำเป็นในการงอกของหนังกำพร้า และการสังเคราะห์ใยคอลลาเจน ส่วนทองแดงเป็นสารที่จำเป็นสำหรับน้ำย่อย ในการสังเคราะห์ใยคอลลาเจน ซึ่งธาตุทั้ง 2 ชนิดนี้ พบมากในเครื่องในสัตว์ โดยเฉพาะตับ, ไข่, เนื้อสัตว์, ปลา, ถั่ว, ผักใบเขียว เป็นต้น

* หลีกเลี่ยงความเครียด คนที่มีภาวะเครียดทั้งกายและใจ จะทำให้แผลหายช้าลง เนื่องจากภาวะเครียดทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนจากต่อมหมวกไต คือ แอดรีนาลิน (Adrenaline) มากขึ้น ซึ่งฮอร์โมนนี้จะมีผลกระทบต่อการหายของแผล โดยทำให้การงอกของเนื้อเยื่อเลวลง

* งดสูบบุหรี่ บุหรี่ทำให้เม็ดเลือดแดงนำออกซิเจนไปสู่เซลล์ หรือเนื้อเยื่อที่แผลลดลง โดยเฉพาะแผลที่เกิดกับปลายมือปลายเท้า นอกจากนี้ บุหรี่ยังทำให้มีการรวมตัวของเกล็ดเลือด มีผลให้เลือดแข็งตัวมากกว่าปกติ การไหลเวียนจึงไม่ดีทำให้แผลได้รับสารอาหารลดลงอีกด้วย

* ส่งเสริมให้เลือดไปเลี้ยงแผลอย่างเพียงพอ เช่น ในขณะที่อากาศเย็นควรประคบความร้อน ให้ตำแหน่งที่เป็นแผลอุ่นขึ้น ความร้อนจะทำให้เส้นเลือดขยายตัว ช่วยให้เลือดมาเลี้ยงแผลมากขึ้น นอกจากนั้น การปิดแผลด้วยพลาสเตอร์ ไม่ควรให้ตึงหรือแน่นจนเกินไป และยกส่วนที่เป็นแผลให้สูง เพื่อให้เลือดไหลกลับเข้าสู่หัวใจได้ดีขึ้น ก็จะช่วยลดอาการบวมได้

* ควรให้ส่วนที่เป็นแผลได้พัก เช่น การคล้องแขนไว้, การดาม, การใส่เฝือก เป็นต้น การพักช่วยให้การใช้ออกซิเจนลดลง ทำให้เนื้อเยื่อบริเวณบาดแผลใช้ออกซิเจนอย่างมีประสิทธิภาพขึ้น นอกจากนี้ การพักยังทำให้เชื้อโรคไม่แพร่กระจายไปสู่ส่วนอื่นๆ ด้วย

* ป้องกันการติดเชื้อที่บาดแผล การติดเชื้อจะทำให้แผลหายช้า เมื่อเชื้อโรคเพิ่มจำนวนมากขึ้นที่แผล เชื้อโรคจะดึงเอาออกซิเจนไปใช้ในการเปลี่ยนแปลงทางเคมี ทำให้การสังเคราะห์ใยคอลลาเจนช้าลง หรือเชื้อโรคบางชนิดจะปล่อยสารพิษออกมาสู่แผล ทำให้รบกวนกระบวนการหายของแผล การป้องกันการติดเชื้อ ทำได้โดยการระมัดระวังขณะทำแผล โดยใช้เครื่องมือและวัสดุอุปกรณ์ที่สะอาด หากผู้ป่วยไม่สามารถทำได้เอง ควรไปใช้บริการในสถานพยาบาล ที่มีเครื่องไม้เครื่องมือ และบุคลากรที่พร้อมจะดีที่สุด

* การทำแผลอย่างถูกต้องและเหมาะสม จะช่วยส่งเสริมกระบวนการหายของแผลได้เช่นกัน นั่นคือ ไม่ควรทำแผลบ่อยเกินไป หรือเช็ดแผลไม่ถูกเทคนิค เช่น เช็ดแผลแรงเกินไป หรือการดึงผ้าปิดแผลที่ติดแผลโดยขาดความระมัดระวัง จะทำให้เนื้อเยื่อที่กำลังงอกตาย หรือเส้นเลือดฝอยที่กำลังงอกผ่านเข้ามาที่ผ้าปิดแผลฉีกขาด ทำให้กระบวนการหายของแผลต้องล่าช้าออกไป นอกจากนั้น การเลือกน้ำยาใส่แผลที่ไม่เหมาะสม ก็จะทำให้เซลล์ตายได้เช่นเดียวกัน

กระบวนการหายของแผล เป็นกระบวนการตามธรรมชาติของร่างกาย ซึ่งมีอยู่แล้วในคนทุกคน การส่งเสริมเพียงแต่ช่วยให้กระบวนการเหล่านั้น ดำเนินไปตามปกติเท่านั้น การหายของแผลยิ่งเร็วเท่าใด ก็ย่อมส่งผลดีต่อสุขภาพกายและจิตของผู้ป่วย จึงน่าจะใส่ใจดูแลและปฏิบัติตนให้ถูกต้องครับ

ที่มา : สยามรัฐ

บัญญัติ 10 ประการ ป้องกันริดสีดวงทวาร

ริดสีดวงทวารหนักเป็นโรคพบบ่อยที่สุดโรคหนึ่ง ประมาณว่าครึ่งหนึ่งของประชากรที่อายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไปจะเริ่มมีอาการของโรคนี้ และจะเก็บอาการของโรคนี้ไว้เป็นความลับส่วนตัวเป็นเวลานานกว่าจะไปหาแพทย์ เพื่อขอคำแนะนำในการรักษา ซึ่งในปัจจุบันมีวิธีรักษาที่ถูกต้องมากมายหลายวิธี ที่สามารถขจัดปัญหาเรื่องริดสีดวงทวารหนักออกไปได้โดยไม่ก่อให้เกิดความเจ็บ ปวดหรือความทุกข์ทรมานใดๆ

นอกจากนี้ ริดสีดวงทวารหนักยังเป็นโรคที่มีการบันทึกทางการแพทย์ที่เก่าแก่ที่สุด ว่ากันว่า โรคนี้เป็นของขวัญที่พระเจ้าประทานให้แก่สัตว์ที่สามารถยืนตัวตรงได้ เพราะจะไม่พบโรคนี้ในสัตว์สี่เท้าเลยพบแต่ในมนุษย์เท่านั้น บันทึกครั้งแรกของโรคนี้พบในสมัยกรีกและอียิปต์โบราณประมาณ 1700 ปีก่อนเริ่มคริสต์ศักราช หรือ 1200 ปีก่อนพุทธศักราช และมีข้อมูลการรักษาโรคนี้บันทึกติดต่อกันมาเรื่อยๆ ไม่ว่าเป็นการจี้ด้วยเหล็กเผาไฟ การจี้ด้วยสารเคมีหรือการผูกรัด เป็นต้น การรักษาสมัยใหม่กำเนิดมาไม่ถึงร้อยปีมานี้เอง พร้อมกับการกำเนิดของศัลยแพทย์สาขาโรคลำไส้ใหญ่และทวารหนัก และผ่านการพัฒนามาเป็นลำดับ จนในปัจจุบันนี้ได้กลายเป็นวิธีมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ซึ่งได้ผลดีมาก และไม่ก่อให้เกิดปัญหาโรคแทรกซ้อนใดๆ แก่ผู้ป่วยทั้งสิ้น

เนื่องจากเป็นโรคที่พบบ่อยมาก และผู้ป่วยมักมีความอายที่จะมาพบแพทย์ จึงมักจะได้รับการรักษาที่ไม่ถูกต้อง ก่อให้เกิดปัญหาโรคแทรกซ้อนตามมาอย่างมาก ที่พบบ่อยที่สุดคือ มาด้วยรูทวารหนักตีบตัน ไม่สามารถถ่ายอุจจาระได้ ซึ่งมักพบจากการรักษาริดสีดวงทวารหนักโดยการจี้ด้วยธูป, ความร้อน, จี้ด้วยกรดหรือสารเคมีที่กัดผิวหนัง ฉีดสารเคมีที่ไม่ถูกต้องลงไป รวมทั้งการผ่าตัดที่มากเกินไป ผู้ป่วยรูทวารหนักตีบตันส่วนมากที่ส่งมาให้รักษามักจะมีอาการอย่างมาก จนไม่สามารถสอดนิ้วก้อย หรือปลายเครื่องมือเล็กๆ เข้าไปได้เลย ผู้ป่วยจะถูกผ่าตัดเอาผิวหนังและเยื่อบุรอบรูทวารหนักที่ตีบตันออกทั้งหมด แล้วจึงนำผิวหนังบริเวณแก้มก้นเข้ามาทดแทน ใช้เวลารักษานานอย่างน้อย 6 เดือน เพื่อให้ทวารหนักใหม่ใช้การได้ดี จึงสามารถผ่าตัดปิดลำไส้ใหญ่ที่เปิดให้ถ่ายอุจจาระทางหน้าท้องกลับคืนไปได้

บัญญัติ 10 ประการ ในการป้องกันและรักษาโรคริดสีดวงทวารหนัก ท่านที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นริดสีดวงทวารหนักแล้ว หรือท่านที่ไม่ต้องการที่จะเป็นโรคนี้ มีข้อปฏิบัติง่ายๆ 10 ประการ เพื่อช่วยหลีกเลี่ยงปัจจัยอันจะทำให้เกิดโรคริดสีดวงทวารหนักหรือทำให้โรค ที่เป็นอยู่แล้วมีอาการรุนแรงขึ้น

1.รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ข้าวกล้อง, ผัก, ผลไม้
2.ดื่มน้ำมาก ๆ อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว
3.หลีกเลี่ยงอาหารที่อาจระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร เช่น อาหารรสเผ็ดจัด, ชา, กาแฟ เครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์
4.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น เดินเร็ว, ว่ายน้ำ
5.ฝึกหัดการขับถ่ายให้เป็นเวลา การดื่มน้ำแก้วใหญ่ทันที หลังตื่นนอนตอนเช้าจะช่วยกระตุ้นการขับถ่ายได้
6.หลีกเลี่ยงการกลั้นอุจจาระหรือเบ่งอุจจาระ โดยเฉพาะการเบ่งเพื่อให้อุจจาระก้อนสุดท้ายออกมาจนเกลี้ยง รวมทั้งการนั่งส้วมเป็นเวลานานจนเกินความจำเป็น เช่น อ่านหนังสือขณะถ่ายอุจจาระ
7.ดูแลสุขภาพและความสะอาดของทวารหนักเสมอ ภายหลังการถ่ายอุจจาระ ควรใช้น้ำล้างทำความสะอาดมากกว่าการใช้กระดาษชำระเช็ด
8.ใช้ยาระบายอ่อนๆ ตามคำแนะนำของแพทย์เมื่อคิดว่ามีอาการท้องผูก หลีกเลี่ยงการใช้ยาระบายหรือยาถ่ายอย่างรุนแรง หรือใช้บ่อยจนเป็นนิสัย รวมทั้งหลีกเลี่ยงอุปนิสัยการสวนทวารหนักเพื่อให้ถ่ายอุจจาระเป็นประจำเกิน ความจำเป็น
9.พยายามหลีกเลี่ยงการยกของหนัก และหลีกเลี่ยงเสื้อผ้าที่คับเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกางเกงคับๆ
10.เมื่อมีอาการต่างๆ เกิดขึ้น เช่น มีเลือดออกหลังถ่ายอุจจาระ รู้สึกไม่สบายบริเวณทวารหนัก ควรปรึกษาแพทย์

ที่มา : บ้านเมือง

วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ทานยากับน้ำเกรปฟรุตให้โทษ

ทานยากับน้ำเกรปฟรุตให้โทษ

การทานยากับน้ำเกรปฟรุตอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน…

คณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่ซานฟรานซิสโก ได้ทำการทดลองแล้ว กล่าวได้ว่า น้ำเกรปฟรุตส่งผลกระทบต่อระบบการทำงานของร่างกาย ที่จะทำให้ประสิทธิภาพในการรักษาของยาหมดไป ก่อนที่ยาจะซึมเข้าสู่กระแสเลือด น้ำเกรปฟรุตต่อต้านการดูดซึมของยาที่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง ความดันโลหิตสูง หัวใจล้มเหลว และโรคภูมิแพ้ต่าง ๆ รวมไปถึงยาที่ใช้กับผู้ป่วยที่ทำการปลูกถ่ายอวัยวะใหม่

ผลการวิจัยก่อนหน้านี้ บอกถึงอันตรายของน้ำเกรปฟรุตในแง่ที่ส่งผลต่อการทานยา น้ำเกรปฟรุตจะมีฤทธิ์ในการทำลายเอนไซม์ในร่างกาย ที่ทำหน้าที่สกัดกั้นไม่ให้ยาเข้าสู่กระแสเลือดมากเกินไป เมื่อเอนไซม์ชนิดนี้ลดลง ทำให้ตัวยาบางชนิด รวมถึงยาที่ใช้ในการรักษา โรคความดันโลหิตและแอนติฮิสตามีน (Antihistamines) มีฤทธิ์ในการรักษารุนแรงขึ้น เพราะในบางกรณีที่ร่างกายได้รับตัวยามากเกินขนาด จะเป็นผลเสียต่อการรักษาและร่างกายผู้ป่วย

รู้อย่างนี้แล้ว การทานยาควรหันมาทานกับน้ำสะอาดดีที่สุด.

เปิดตัวสาหร่ายมุกหยกกันมะเร็งลำไส้ เก๊าต์

เปิดตัวสาหร่ายมุกหยกกันมะเร็งลำไส้ - เก๊าต์

เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) จัดแถลงข่าวพิธีลงนามความร่วมมือเรื่อง "การถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตสาหร่ายมุกหยก (ไข่หิน)" ระหว่าง วว. และบริษัท สยามนอสตอค แอนด์ ไมโครแอลจี จำกัด เพื่อผลิตในเชิงพาณิชย์ โดย ดร.อาภารัตน์ มหาขันธ์ นักวิชาการ ศูนย์จุลินทรีย์ วว. กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) กล่าวว่า จากการศึกษาคุณประโยชน์ของสาหร่ายพบว่าสาหร่ายมุกหยก หรือ สาหร่ายไข่หิน ซึ่งเป็นสาหร่ายน้ำจืดสกุลนอสตอค พบได้ในภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือของประเทศไทย มีคุณค่าทางอาหารสูงมาก จากผลการวิเคราะห์คุณค่าทางอาหารของสาหร่ายดังกล่าว พบว่า ช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ เนื่องจากมีไขมันเพียงร้อยละ 1.56 และยังมีใยอาหารถึงร้อยละ 43 ซึ่งสามารถป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ได้ นอกจากนี้ยังวิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และแร่ธาตุต่างๆ อาทิ แคลเซียม และเหล็ก ซึ่งช่วยป้องกันโรคเก๊าต์ ตาบอดในเวลากลางคืน

ดร.อาภารัตน์กล่าวว่า สาหร่ายมุกหยกมีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย อาทิ เมไทโอนีน ไลซีน โพรลีน ซีรีน ไทโรซีน และอะลานีน ซึ่งช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง อย่างไรก็ตาม วว.ได้นำสาหร่ายดังกล่าวมาทำการเพาะเลี้ยงด้วยอาหารอนินทรีย์ ซึ่งเป็นสูตรเฉพาะ ทำให้ได้สาหร่ายมุกหยกในลักษณะเป็นวุ้นก้อนกลมๆ เล็กๆ ขนาด 2-4 มิลลิเมตร ราคา กก.ละ 400-500 บาท จึงนำมาผลิตเป็นอาหารเพื่อสุขภาพน่ารับประทานและปลอดภัยต่อการปนเปื้อนปรอท ตะกั่วและสารหนู รวมทั้งไม่มีการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคด้วย


โรคคู่กายสาวนักไดเอท

โรคคู่กายสาวนักไดเอท

สาวๆ ที่ไดเอทอยู่ตลอดเวลา (แต่ไม่รู้ทำไมไม่ผอมซักที) อาจต้องระวังโรคยอดฮิตที่ชาวไดเอทชอบเป็นกันมากทั้ง 5 โรคนี้ เพราะมันอาจกำลังใกล้คุณแล้วก็ได้


1. โรคกระเพาะ
ก็เล่นกินไม่เป็นเวลาแถมบางมื้อยังอดเอาดื้อๆ น้ำย่อยในกระเพาะหลั่งออกมาเพื่อย่อยอาหารก็เลยกัดผนังกระเพาะอาหารเข้าให้ ในที่สุดกระเพาะก็เป็นแผลและกลายเป็นโรคกระเพาะจนได้นี่หล่ะหนา.. ผลของการไดเอทแบบผิดวิธี

2. โรคขาดสารอาหาร

โรคนี้มาจากการกินอาหารแบบกันตายไปวันๆ ไม่กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เช่น กินส้มตำทั้งเช้ากลางวันเย็น แถมทำมาเป็นเดือนแล้วด้วย อย่างนี้ร่างกายจะไปทนอดและอดทนกับคุณไหวได้ยังไง การขาดสารอาหารจะส่งผลร้ายกับร่างกายและชีวิตประจำวันมากจนคุณคิดไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็น
- อ่อนเพลีย หน้ามืด น้ำตาลในเลือดต่ำ เพราะขาดคาร์โบไฮเดรต
- กล้ามเนื้อไม่มีแรง แผลหายช้าหรือเป็นแผลเป็น คิดอะไรไม่ออก เพราะขาดโปรตีน
- มีริ้วรอยก่อนวัย เป็นโรคกระดูกพรุน เพราะขาดวิตามินเอ ดี เค และวิตามินอี

3. โรคมะเร็ง
คนที่ไดเอทตลอดเวลาและนานหลายปี มีสิทธิ์เป็นมะเร็งตามอวัยวะสำคัญต่อไปนี้

- มะเร็งหลอดอาหาร โดยเฉพาะคนที่ชอบล้วงคอให้อาเจียน เนื่องจากเวลาที่อาเจียนออกมา น้ำย่อยในกระเพาะซึ่งมีสภาพเป็นกรดก็ต้องถูกบังคับให้ไหลย้อนผ่านหลอดอาหาร มาที่คอไปด้วย กรดนี้จะกัดหลอดอาหาร (ซึ่งบางกว่าผนังกระเพาะมาก) ไปตลอดทาง นานๆ เข้าเซลล์บริเวณนี้ก็จะผิดปกติและกลายเป็นเซลล์มะเร็งไปในที่สุด

- มะเร็งลำไส้โรคนี้จะเกิดกับคนที่รีดน้ำหนักด้วยวิธีกินยาถ่ายเป็นประจำ เพราะจะไปรบกวนให้ลำไส้ทำงานผิดปกติและถ้ากินมานานเป็นปี ลำไส้อาจจะถึงขั้นที่หยุดทำงาน ทำให้เกิดการสะสมของเสียและกลายเป็นมะเร็งไป

- มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งที่ส่วนี้จะเกิดกับคนที่อดอาหารบ่อยๆ ปล่อยให้น้ำย่อยกัดผนังกระเพาะจนเป็นแผล จากแผลเล็กก็ลุกลามกลายเป็นแผลเรื้อรัง และกลายเป็นเนื้อร้ายหรือที่เรียกว่ามะเร็งนั่นเอง

เห็นผลร้ายของการลดความอ้วนที่ผิดวิธีแล้ว หวังว่านักไดเอทที่ออกนอกลู่นอกทางจะกลับใจมาลดน้ำหนักอย่างถูกต้องกันเสียที….

ที่มา : Spicy

“ควันเผาศพ” มลพิษและความตายอันน่ากลัว

“ควันเผาศพ” มลพิษและความตายอันน่ากลัว

พิธีกรรมการฌาปนกิจหรือเผาศพนั้น เป็นพิธีกรรมที่อยู่คู่คนไทยมาช้านาน และยังมีอีกหลายประเทศที่มีความเชื่อการส่งวิญญาณผู้ตายสู่สุคติด้วยการ เลือกที่จะเผาร่างอันไร้ลมหายใจนั้น นี่เองที่ทำให้หลายต่อหลายวัดในกรุงเทพมหานครและตลอดทั่วประเทศไทย จำต้องมีเมรุเผาศพเพื่อประกอบพิธีกรรมดังกล่าว แต่สิ่งที่อีกหลายคนยังไม่รู้ก็คือ ในการเผาศพแต่ละครั้งนั้น ก่อให้เกิดสารพิษจากการเผาไหม้ที่มีอันตรายถึงชีวิตเลยทีเดียว!!!

เมื่อเร็วๆ นี้ ชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อมได้จัดการเสวนาเชิงวิชาการที่น่าสนใจอย่างยิ่ง อันว่าด้วยเรื่อง “ความตายและสิ่งแวดล้อม เตาเผาศพแหล่งมลพิษร้ายใกล้ตัว” โดยมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิอย่าง ดร.นิคม ไวยรัชพานิช ผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร และดร.จารุพงษ์ บุญหลง ผู้ประสานงานโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย ร่วมให้ความรู้

ดร.จารุพงษ์เปิดเผยถึงสารพิษตัวสำคัญที่มีผลร้ายแรงต่อร่างกาย อันเนื่องมาจากการเผาศพว่า ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ “ไดออกซิน/ฟิวแรนส์” (Dioxins / Furans) ซึ่งเป็นสารเคมีอันเป็นผลผลิตที่ไม่ได้ตั้งใจหรือที่เรียกว่า Unintentional Product ซึ่งเกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ (ในช่วงอุณภูมิ 200-650 เซลเซียส”)

ไดออกซิน/ฟิวแรนส์เป็นสารประกอบในกลุ่มคลอริเนตเตท อะโรมาติก (chlorinated aromatic compound) ที่มีออกซิเจนและคลอรีนเป็นองค์ประกอบ 1-8 อะตอม มีมากถึง 210 ชนิด แต่มีเพียง 17 ชนิดเท่านั้นที่มีรายงานว่ามีพิษร้ายแรงและเป็นอันตรายต่อมนุษย์

“สาเหตุของการเกิดไดออกซิน/ฟิวแรนส์ ที่มาจากการเผาศพก็เพราะประการแรก นอกจากศพที่ส่งเข้าเตาเผาแล้ว ยังมีวัสดุอื่นๆ ที่ถูกส่งเข้าไปยังเตาเผาด้วย เช่น อุปกรณ์ตกแต่งโรงศพที่เป็นวัสดุพลาสติก พวงหรีด กระดาษเงินกระดาษทอง เทพพนม หรือพลาสติกที่ห่อศพติดเชื้อจากโรงพยาบาล อย่างศพผู้ป่วยเอดส์ ก็จะส่งเข้าเตาเผาทั้งพลาสติกแบบนั้นเลย ไดออกซิน/ฟิวแรนส์จะเกิดขึ้นจะเกิดจากการเผาของดังกล่าว โดยการเผาจะเป็นการเผาที่ไม่สมบูรณ์ในช่วงอุณหภูมิ 200-650 เซลเซียส”

ดร.จารุพงษ์กล่าวต่อถึงพิษร้ายของไดออกซิน/ฟิวแรนส์ ว่าเพียงแค่0.0000000001 กรัม ก็มีผลต่อร่างกายมนุษย์แล้ว และหากได้รับพิษของมันสะสมเข้าไปร่างกายเป็นระยะเวลานานก็อาจจะส่งผลออกมาใน รูปของ น้ำหนักลด โรคผิวหนัง เป็นสิวแบบคลอแอคเน่ ตับอักเสบ ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง อัณฑะมีรูปร่างผิดปกติ การสร้างอสุจิลดลง ตัวอ่อนหรือทารกผิดปกติ ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง เป็นต้น

ใน ส่วนของการเกิดไดออกซิน/ฟิวแรนส์จากการเผาศพนั้น ดร.จารุพงษ์อธิบายว่า ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดของเตาเผาศพของประเทศไทยนั้นจะมีความร้อนในการเผาที่ สูงไม่พอในการจะเผาไดออกซิน/ฟิวแรนส์ให้หายไปด้วย ซึ่งตามปกตินอกจากที่ไดออกซิน/ฟิวแรนส์จะเกิดจากการเผาอุปกรณ์อื่นๆ ที่ใส่เข้าไปพร้อมศพแล้ว ที่หลายคนยังไม่รู้ก็คือ ในร่างกายของคนเราเองก็มีไดออกซิน/ฟิวแรนส์อยู่เช่นกัน

“ตามธรรมดานั้นสารไดออกซิน/ฟิวแรนส์จะเข้าสู่ร่างกายคนโดยผ่านทางอาหาร ที่กินเข้าไป เช่น เนื้อ นม ไข่ ที่มาจากสัตว์ที่ได้รับสารไดออกซิน/ฟิวแรนส์ โดยอาจจะเป็นจากการกินหญ้า กินน้ำ ที่มีสารไดออกซิน/ฟิวแรนส์จากเตาเผาศพลอยมาเกาะ หรือกระทั่งสัมผัสสารไดออกซิน/ฟิวแรนส์ในอากาศ เมื่อคนกินผลิตภัณฑ์จากสัตว์เหล่านั้นเข้าไป ไดออกซิน/ฟิวแรนส์ก็จะเข้าไปสะสมในร่างกายของคน และไดออกซิน/ฟิวแรนส์จะละลายได้ดีในไขมัน มันจึงเข้าไปเกาะอยู่ตามชั้นไขมันของร่างกาย และแน่นอนว่าการเผาศพนั้น ส่วนชั้นไขมันก็ต้องถูกเผา นั่นเป็นการเผาเพื่อก่อเกิดสารไดออกซิน/ฟิวแรกจากศพออกมาเป็นจำนวนมาก”

ดร.จารุพงษ์ได้ยกกรณีที่เคยไปเก็บตัวอย่างจากศพพระภิกษุรูปหนึ่งที่ถูก เก็บไว้นานแล้ว สภาพศพแห้ง แต่เมื่อนำเข้าทำพิธีฌาปนกิจแล้วปรากฏว่า สารไดออกซินฟิวแรนส์จากศพพระภิกษุที่ถูกเก็บไว้จนแห้ง และมีไขมันในศพน้อยกว่าศพสดมากนั้น ยังคงมีสารพิษออกมามากกว่า 26 เท่าของมาตรฐานความปลอดภัย

“เรื่องมลพิษจากเตาเผาศพเป็นเรื่องที่ต้องเร่งแก้ไข เพราะถ้าเทียบสัดส่วนสารพิษจากอาหารจำพวกแฮม เบคอน พวกเนื้อสัตว์แปรรูป หรือเชื้อราอะฟลาท็อกซินจากถั่วแล้ว ถือว่าเล็กน้อยมากหากเทียบกับไดออกซิน/ฟิวแรนส์ แล้วการรับสารก็ยังเป็นการรับโดยไม่รู้ตัว ลองนึกภาพสัปเหร่อที่วันๆ ต้องขลุกอยู่กับเตาเผา นึกถึงภาพแขกที่มาร่วมงานที่นั่งรับประทานอาหารที่เจ้าภาพงานศพจัดเลี้ยงให้ บริเวณหน้างานในขณะที่เตาเผากำลังทำงานว่าคนเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงแค่ไหน” ดร.จารุพงษ์กล่าว

แต่ใช่ว่าจะไม่มีหนทางป้องกันแก้ไขเจ้าไดออกซิน/ฟิวแรนส์นี้เลย เพราะดร.จารุพงษ์อธิบายว่า กระบวนการเผาศพอย่างถูกวิธีนั้นจะสามารถกำจัดสารพิษตัวร้ายนี้ไปได้ แต่การเผาศพนั้นๆ จำเป็นจะต้องใช้ความร้อนในการเผาสูงกว่า 850 องศาเซลเซียส และในเตาเผาจะต้องมีการออกระบบการหมุนเวียนอากาศอย่างเป็นระบบมาตรฐาน ต้องมีอุปกรณ์การดูดซับไดออกซิน/ฟิวแรนส์ติดตั้งอยู่ในเตาเผาด้วย และ ต้องใช้เวลาเผาไดออกซิน/ฟิวแรนส์ด้วยอุณหภูมิในระดับดังกล่าวนานกว่า 2 วินาที

แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้คือแทบจะไม่มีเตาเผาใดในกรุงเทพมหานคร ที่มีการจัดระบบการเผาที่ได้มาตรฐานด้วยความร้อนที่สูงขนาดนั้น ดังนั้นจึงแทบไม่ต้องพูดถึงการเผาศพในต่างจังหวัด

ด้านดร.นิคมก็ได้ให้ภาพกว้างๆ ของการทำพิธีฌาปนกิจในเขตท้องที่กรุงเทพมหานครแบบสั้นๆ แต่ชัดเจน ว่า เพียงแค่วัดที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมของประชาชนในการจัดพิธีฌาปนกิจศพ ในวันหนึ่งๆ นั้นก็จำต้องเผาศพวันละเป็นสิบๆ ศพแล้ว

“เพียง 2 วัดยอดฮิตที่รู้ๆ กัน รวมกันทุกศาลาก็ปาเข้าไปประมาณ 100 กว่าศพแล้วครับ” ดร.นิคมกล่าว

ดร.จารุพงษ์ได้เผยโครงการที่จัดทำขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยเสนอว่า ในกรุงเทพมหานครจำเป็นจะต้องมีเตาเผาศพที่ได้มาตรฐาน จัดตั้งเป็นศูนย์เผาศพโดยเฉพาะ โดยใช้ต้นแบบของเตาเผามาจากประเทศเยอรมัน ที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตและคิดค้นเทคนิคการเผาศพที่ดีที่สุดในโลก ดังเช่นที่เห็นกันในประวัติศาสตร์การเผาคนยิวจำนวนมาก ที่ประเทศเยอรมันสามารถจัดสร้างเตาเผาขนาดใหญ่และมีประสิทธิภาพการเผาที่ดี ซึ่งบริษัทที่จัดทำในยุคนั้นได้รับการยอมรับมาจนถึงบัดนี้ จนมีการคิดค้นเทคนิคการเผาและจัดศูนย์เผาศพประจำเมืองเพื่อความสะดวกและดูแล เรื่องมลพิษอย่างจริงจัง

“เตาเผาที่นั่นจะใช้เวลานับแต่ส่งโลงเข้าไปยังเตาเผา จนเป่าอัฐิลงมาใส่โกศนั้น เพียง 45 นาทีเท่านั้น และทุกระบบของเขาได้มาตรฐานทั้งหมด ทำให้เมื่อไปวัดที่ปากปล่องเตาเผา ปรากฎว่าไม่พบไดออกซิน/ฟิวแรนส์แล้ว คือกระบวนการภายในเตาที่ให้ความร้อนสูงกว่า 850 องศาเซลเซียส นานกว่า 2 วินาที และมีการระบบการหมุนเวียนอากาศที่ดีนั้น ทำให้การเผาศพๆ นั้นไม่ก่อสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์

“หากเราทำในเมืองไทยงบประมาณต่อ 1 ศูนย์ก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งก็ยอมรับว่าเป็นเงินที่มากพอสมควร ซึ่งนั่นก็เป็นปัญหาที่ทุกครั้งที่ผมเสนอโครงการนี้ จึงติดขัดมีปัญหาจนทุกวันนี้ แต่หากทำได้ เราจะลดสารพิษที่เป็นอันตรายร้ายแรงได้มากทีเดียว” ดร.จารุพงษ์กล่าว

ด้านตัวแทนจากกทม.อย่างดร.นิคมก็ได้กล่าวถึงแนวคิดโครงการศูนย์เผาศพว่า ปัญหาสารพิษจากการเผาศพนั้น เป็นภัยร้ายใกล้ตัว เชื่อว่าผู้บริหารก็ต้องเล็งเห็น แต่ว่าสิ่งที่คณะทำงานต้องทำก็คือ นำเสนอข้อมูลให้ละเอียดมากที่สุด เพื่อให้ผู้บริหารเข้าใจ พร้อมทั้งได้เปิดเผยความคืบหน้าล่าสุดเป็นการทิ้งท้ายการเสวนาว่า

“ตอนนี้โปรเจ็กต์ศูนย์เผาศพได้ถูกเขียนเอาไว้ในแผนชาติแล้ว แต่ก็ต้องให้รัฐมนตรีดูก่อน เพื่อจะได้กำหนดนโยบาย ระหว่างนี้ก็คุยกับน้องๆว่า เสนอเข้าไปขั้นแรกก่อน แต่ก็ต้องเก็บข้อมูลเพิ่มเติมไปด้วย”

ที่มา : www.hunsa.com

วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2552

แปลกใจคนอ้วนรอดหัวใจวายกว่าคนปกติ แถมยัง มีชีวิตอยู่ยืนยาวกว่าอีกด้วย Posted on 05 April 2009

แปลกใจคนอ้วนรอดหัวใจวายกว่าคนปกติ แถมยัง มีชีวิตอยู่ยืนยาวกว่าอีกด้วย

นักวิจัยเยอรมันและสวิสศึกษาพบด้วยความประหลาดใจว่า คนไข้หัวใจวายและหัวใจขาดเลือดที่เป็นคนอ้วนเกินปกติ เมื่อรอดตายกลับมีชีวิตอยู่ได้ยืนยาวกว่าคนไข้ที่มีน้ำหนักตัวปกติ

คณะนักวิจัยรายงานผลการศึกษา ในวารสารวิชาการ “โรคหัวใจ” แห่งยุโรป แจ้งว่า ได้ศึกษาจากคนไข้ที่เข้าโรงพยาบาลที่มีอาการเหล่านั้น 1,676 ราย พบว่า คนไข้ที่เป็นคนอ้วนเกินปกติเกินกว่าครึ่ง จะรอดชีวิตอยู่ได้เกิน 3 ปี มากกว่าคนไข้ที่น้ำหนักตัวปกติ แต่ก็ยอมรับว่ายังไม่อาจทราบสาเหตุแน่ชัดได้ และวงการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญยังได้เตือนกับผู้ที่อ้วนเกิน ปกติว่า จะต้องเผชิญกับโรคหัวใจต่างๆก่อนคนอื่น

ดร.ไฮนซ์ บูเอตเตอ หัวหน้านักวิจัยกล่าวว่า “แม้ว่าไม่ต้องสงสัยเลยนั้นว่า ผู้ที่น้ำหนักเกินหรืออ้วนเกิน มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจมากกว่าคนอื่น แต่หลักฐานจากการศึกษาพบว่า หลังจาก ได้รับการรักษาพยาบาลไปแล้ว คนไข้ที่เป็นคนอ้วนเกินปกติกลับได้รับการพยากรณ์โรคว่า มีฐานะเหนือกว่าคนไข้ที่มีน้ำหนักตัวปกติ”

เขายังมีความเห็นว่า อาจจะเป็นเพราะสารเคมีในร่างกายของคนอ้วนเกินปกติ กับคนมีน้ำหนักปกติแตกต่างกันก็เป็นได้.


ที่มา www.nungded.com

ประโยชน์ของ "มังคุด"

ประโยชน์ของ "มังคุด"

เป็นไม้ผลยืนต้นขนาดใหญ่ ชอบอากาศชื้น ที่สำคัญควรเลือกพื้นที่ปลูกที่มีน้ำเพียงพอตลอดช่วงฤดูแล้ง มังคุดเป็นผลไม้ที่มีระบบรากหาอาหาร ค่อนข้างลึกประมาณ 90-120 ซม. จากผิวดิน ดังนั้น จึงต้องการสภาพแล้งก่อนออกดอกค่อนข้างนาน โดยต้นมังคุดที่สมบรูณ์ ใบยอดมีอายุระหว่าง 9-12 สัปดาห์ เมื่อผ่านช่วงแล้งติดต่อกัน 21-30 วัน และมีการกระตุ้นน้ำถูกวิธี มังคุดจะออกดอก

ประโยชน์ต่อสุขภาพ
สารสกัดมังคุด มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย อันเป็นสาเหตุอาการท้องเสีย สารที่พบมากที่เปลือกคือ tannin มีฤทธิ์ฝาดสมาน จึงช่วยแก้อาการท้องเสีย นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย สาเหตุการเกิดหนอง และยังรักษาแผลได้อีกด้วย

การใช้มังคุครักษาอาการท้องเสีย คือ
1. ใช้เปลือกผลตากแห้ง ต้มกับน้ำปูนใส นำน้ำมาดื่ม
2. ใช้ผลตากแห้งฝนกับน้ำดื่ม
3. ใช้เปลือกตากแห้งมาฝนกับน้ำดื่ม ให้เด็กดื่มครั้งละ 1-2 ช้อนชา ทุก 4 ชม. และผู้ใหญ่ ครั้งละ 4 ช้อนชา ทุก 4 ชม.

ที่มา : mcot.net

Comments (0)

กระโดดเชือก : ปั้นหุ่นใน 5 นาที

Posted on 05 April 2009 by admin

กระโดดเชือก : ปั้นหุ่นใน 5 นาที

มันเป็นวิธีที่รวดเร็วที่สุดในการเผาผลาญแคลอรี่ แต่การกระโดดเชือกแบบนันสต๊อปเป็นเรื่องยาก ลองมาใช้แผนการปั้นหุ่นด้วยการกระโดดเชือกในหนึ่งเดือนอันแสนง่ายดาย

สัปดาห์ที่ 1 : อาทิตย์ พุธ เสาร์ ยืดกล้ามเนื้อและอุ่นเครื่องโดยเน้นที่ขาเป็นพิเศษ กระโดดเชือกให้ได้ 8 ครั้งต่อวัน จากนั้นทำท่าก้าวเตะ 16 ครั้งต่อกันโดยไม่หยุดพัก ทำขั้นตอนทั้งหมดซ้ำ 8 รอบ

สัปดาห์ที่ 2 : จันทร์ พุธ ศุกร์ เสาร์ ยืดกล้ามเนื้อและอุ่นเครื่อง กระโดดเชือกต่อกัน 16 ครั้ง แล้วทำท่าก้าวเตะ 32 ครั้ง กระโดดเชือกและทำท่าก้าวเตะให้ได้ 3 รอบติดต่อกันจากนั้น กระโดดเชือก 30 วินาที และทำท่าก้าวเตะ 30 วินาที ทำซ้ำอีกหนึ่งครั้ง

สัปดาห์ที่ 3 : ทุกวัน เว้นเสาร์- อาทิตย์ ยืดกล้ามเนื้อและอุ่นเครื่อง กระโดดเชือก 30 วินาที และทำท่าก้าวเตะ 15 วินาที แล้วกระโดดเชือกอีก 30 วินาที พัก กระโดดเชือก 60 วินาที และท่าก้าวเตะ 30 วินาที จากนั้นกระโดดเชือกอีก 60 วินาที

สัปดาห์ที่ 4 : จันทร์ อังคาร พุธ ยืดกล้ามเนื้อและอุ่นเครื่อง กระโดดเชือก 2 นาที ทำท่าก้าวเตะ 30 วินาที แล้วกระโดดเชือกอีก 2 นาที

ศุกร์ วอร์มอัพ แล้วกระโดดเชือก5 นาทีเต็ม ทำซ้ำให้มากครั้งที่สุด

หมายเหตุ

ท่าก้าวเตะ ก้าวเท้าขวาไปทางขวา ลากเท้าซ้ายตามไป แล้วเปลี่ยนมาทางซ้าย

ท่ากระโดดเชือก กระโดยกเท้าสองข้างพร้อมกัน

ที่มา : Lisa

ยาที่ซื้อมากินจะเก็บไว้ได้นานเท่าไร?

ยาที่ซื้อมากินจะเก็บไว้ได้นานเท่าไร?

ป่วยทีไรกินยาขวดนี้ หายป่วยก็เก็บเข้าตู้ใหม่ เริ่มสงสัยแล้วใช่มั้ยล่ะว่าแล้วเราจะกินมันได้อีกกี่ครั้ง ยามันไม่หมดอายุกันบ้างเลยเหรอ?

** มีสิ ลองดูข้างๆ ขวดยาจะมีวันบอกอายุของยาได้ ตั้งแต่วันผลิดตจนวันหมดอายุ **

Expirt date : วันหมดอายุ ให้ดูตัวย่อว่า Exp.
Manufacturing date : วันผลิต ใช้ตัวย่อว่า Mfg. สำหรับยาที่ไม่มีวันหมดอายุมาให้ ก็ใช้วันผลิตเป็นตัวตั้งได้ โดยที่

ยาน้ำ มีอายุ 2 ปี นับจากวันผลิต
ยาเม็ด มีอายุ 5 ปี นับจากวันผลิต
ยาเม็ดวิตามิน มีอายุ 3 ปีนับจากวันผลิต
ยาแคปซูลสมุนไพร มีอายุ 2 ปี นับจากวันผลิต

*** แต่สำหรับยาที่ถูกแกะออกจากแผง หรือเปลี่ยนถ่ายขวดใส่ยาจะมีอายุสั้นลงกว่าเดิม คือีกประมาณ 6-12 เดือนที่เราแกะยานั้นหรือเปลี่ยนถ่ายขวด

ดื่ม น้ำอัดลม วันละ 2 กระป๋องเสี่ยงเป็น มะเร็งตับอ่อน 90

ดื่ม น้ำอัดลม วันละ 2 กระป๋องเสี่ยงเป็น มะเร็งตับอ่อน 90%

เตือนดื่ม น้ำอัดลม วันละ 2 กระป๋อง กาแฟ หรือ ชาใส่น้ำตาล หรืออาหารรสหวาน เพิ่มความเสี่ยงในการเป็น มะเร็งตับอ่อน เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์

แถลงการณ์ของสถาบันคาโรลินสกาในสวีเดนระบุว่า นี่เป็นครั้งแรกที่นักวิจัยพบว่า การบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีรสหวานส่งผลต่อโอกาสในการเป็นโรค มะเร็งตับอ่อน ซึ่งเป็นมะเร็งที่ร้ายแรงและตรวจพบยากที่สุดชนิดหนึ่ง

ทั้งนี้ เกือบทั้งหมดของผู้ป่วย มะเร็งตับอ่อน 7,000 คนในแต่ละปีเสียชีวิตหลังตรวจพบเนื้อร้าย ส่วนหนึ่งเนื่องจากตรวจพบช้าเกินไป มีเพียง 2% เท่านั้นที่ยังมีชีวิตรอดหลังจากรู้ตัวว่าเป็น 5 ปี อย่างไรก็ดี การผ่าตัดตามด้วยการทำเคมีบำบัดอาจช่วยยืดอัตราการรอดชีวิตได้

ผลศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารอเมริกัน เจอร์นัล ออฟ คลินิคัล นิวทริชั่น ระบุว่านักวิจัยของของสถาบันคาโรลินสกาได้ติดตามพฤติกรรมการกินของชาย-หญิง สุขภาพดีอายุ 45-83 ปี จำนวน 80,000 คนระหว่างปี 1997-2005 โดย 131 คนในจำนวนนี้เป็น มะเร็งตับอ่อน

"คนที่มีความเสี่ยงมากที่สุดคือคนที่ดื่ม น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มที่มีน้ำเชื่อมมาก โดยกลุ่มที่บอกว่าดื่มผลิตภัณฑ์ดังกล่าววันละสองกระป๋องหรือมากกว่านั้น มีความเสี่ยงมากกว่ากลุ่มที่ไม่ดื่มถึง 90%" รายงานระบุ

ส่วนคนที่กินอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีการเติมน้ำตาลลงไปอย่างน้อยวันละ 5 ครั้ง มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 70%

นักวิจัยอธิบายว่า มะเร็งตับอ่อน อาจเกิดจากการที่ตับอ่อนผลิต อินซูลิน มากขึ้น อันเป็นผลจากความผิดปกติของกระบวนการเผาผลาญกลูโคส ทั้งนี้ การกินน้ำตาลมากๆ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ตับอ่อนผลิต อินซูลิน มากขึ้น

"เราคิดว่าสาเหตุมาจากอินซูลิน ถ้าเรากินอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลมาก ก็จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ส่งผลให้ตับอ่อนต้องทำงานหนักขึ้น ผลคือเป็นการกระตุ้นการเติบโตของ ตับอ่อน ซึ่งอาจนำไปสู่มะเร็ง" ดร.ซูซานนา ลาร์สัน จากสถาบันคาโรลินสกาในสตอกโฮล์ม แจกแจงและเสริมว่า การสูบบุหรี่เป็นอีกปัจจัยสำคัญของ มะเร็งตับอ่อน

ที่อังกฤษ สถิติผู้ป่วย มะเร็งตับอ่อน ลดลง 5% ซึ่งเชื่อว่าเกี่ยวโยงกับการลดลงของจำนวนสิงห์อมควัน กระนั้น ดร.ลาร์สันเตือนว่า เป็นไปได้ที่การสูบบุหรี่ลดลงกลับกลายเป็นการปิดบังข้อเท็จจริงที่ว่า ผู้บริโภคกินอาหารและเครื่องดื่มรสหวานมากขึ้นในช่วงหลายปีมานี้

"คำแนะนำที่ดีที่สุด โดยเฉพาะสำหรับเด็กๆ คือ จำกัดการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล"

ก่อนหน้านี้ แพทย์เคยเตือนผู้หญิงให้จำกัดปริมาณการดื่ม น้ำอัดลม เนื่องจากส่งผลให้ กระดูกพรุน จาก กรดฟอสฟอริก ที่พบในโคล่า แต่การศึกษาของนักวิจัยสวีเดนครั้งนี้ไม่มีการเฉพาะเจาะจงประเภท แต่ครอบคลุม น้ำอัดลม ทั้งหมด รวมถึงเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล รวมถึงน้ำผลไม้ที่ผสม น้ำอัดลม

ที่มา www.hayokgang.com

ฟักทองแผลงฤทธิ์ต่อต้านมะเร็ง สะกดเซลล์ไม่ให้ โงหัวขึ้นมาได้

ฟักทองแผลงฤทธิ์ต่อต้านมะเร็ง สะกดเซลล์ไม่ให้ โงหัวขึ้นมาได้

นักวิจัยมหาวิทยาลัยมาเลเซียได้พบว่า ฟักทองสามารถสะกดเซลล์มะเร็งไว้ไม่ ให้แผลงฤทธิ์ได้ โดยทำให้มันอ่อนแอ จนไม่อาจก่อการอาละวาดขึ้น

นักวิจัยของคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม รายงานว่า ศึกษาพบว่าแป้งฟักทองมี “กรดโปรไพโอนิค” กรดนี้ทำให้แป้งเป็นของที่ไม่อาจจะย่อยได้ จึงหมักพวกแบคทีเรียเอาไว้ และบ่อน ทำลายเซลล์มะเร็งให้อ่อนแอลง

นักวิจัยนัวร์ อาเซีย อาจารย์ผู้บรรยายของคณะกล่าวต่อไปว่า ฟักทองยังมีกากใยสูง อุดมด้วยวิตามินเอและสารต่อต้านการผสมกับออกซิเจนกับเกลือแร่ สีของมันเหมาะกับนำไปผสมกับขนมปังหรือเส้นก๋วยเตี๋ยว เนื้อของมันเมื่ออบให้แห้ง นำไปผสมกับแป้งสาลี จะเอาไปทำแป้งที่ใช้ประโยชน์ทำอาหารได้หลายชนิด “เมื่อทำเป็นแป้ง แป้งฟักทองจะไม่มีรสชาติของฟักทองหลงเหลืออยู่เลย ใครๆก็กินได้”.


www.sanook.com

เคล็ดลับลดอ้วนแบบเร่งรัด

คล็ดลับลดอ้วนแบบเร่งรัด

หากคุณยอมรับว่า 2-3 เดือนที่ผ่านมาคุณเต็มไปด้วยความขี้เกียจ ไม่เคยเข้าโรงยิมเลยตั้งแต่ต้นปี แม้เคยสัญญากับตัวเองว่าจะออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอในปีนี้ และคุณเริ่มสวมกางเกงยีนส์ตัวเก่าไม่ได้อีกต่อไป

คุณก็ควรยอมรับว่า ไม่มีทางจะลดน้ำหนัก 10 ปอนด์ ได้ภายใน 1 สัปดาห์ แต่มีวิธีที่จะทำให้คุณรู้สึกว่าทำได้ และแลดูผอมลง ซึ่งคุณต้องชอบแน่ๆ

ต่อไปนี้คือเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำง่าย ไม่เหนื่อย และไม่ต้องขวนขวายอะไรมาก เพื่อช่วยลดความอ้วน โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้องและรอบเอว ซึ่งจะทำให้คุณกลับมาสวมกางเกงยีนส์ตัวเดิมได้ในเร็ววัน

ดื่มน้ำเยอะๆ
อย่าขี้ตืดในการดื่มน้ำ แม้ดื่มเข้าไปแล้วจะเพิ่มน้ำหนักตัวขึ้นมาบ้าง แต่มันช่างน้อยนิดและเทียบไม่ได้กับประโยชน์ที่คุณจะได้รับจากการดื่มน้ำ อย่างเต็มที ่ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว คุณรู้ไหมว่า หากปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำ เกลือจะตกค้างอยู่ในเนื้อเยื่อของคุณ และทำให้คุณกระหายน้ำ การดื่มน้ำเปล่าหรือรับประทานผลไม้ชุ่มน้ำ เช่น แตงโม องุ่น ฯลฯ จะช่วยขจัดโซเดียมส่วนเกินออกจากร่างกาย ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น และช่วยยับยั้งความหิวได้เป็นอย่างดี

ลดการบริโภคเกลือ
เพราะอาหารโซเดียมสูง เช่น ขนมเพรทเซลส์, มันฝรั่งทอด, โคลด์คัทส์ (เนื้อแช่เย็นหั่นบางๆ) และพิซซ่า ฯลฯ ไม่เพียงทำให้คุณกระหายน้ำ อาหารรสเค็มทั้งหลายยังเต็มไปด้วยแป้งและไขมัน หากคุณอยากจะลดน้ำหนักในฉับพลัน ควรรับประทานกล้วยเป็นประจำ เพราะโปแตสเซียมในกล้วยจะช่วยขับโซเดียมออกจากร่างกาย

หลีกเลี่ยงอาหารขัดขาว
คุณควรรู้ว่าในขนมเค้ก, คุกกี้ และแฟรปปุชชิโนตามร้านกาแฟหรูราคาแพง ล้วนเต็มไปด้วยน้ำตาลทรายขาว ไม่เพียงเท่านั้นของหวานดังกล่าวยังอุดมไปด้วยแป้งขัดขาว ธัญพืช และน้ำสลัด น้ำตาลทรายขาวจะแตกตัวเป็นกลูโคสอย่างรวดเร็ว คุณจึงรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเพราะได้รับพลังงานในทันที และมันจะทำให้คุณอยากบริโภคน้ำตาลมากขึ้น มากขึ้น แทนที่จะหลงเข้าไปติดกับดักความหวานของน้ำตาลและแป้งขัดขาว คุณควรหันมารับประทานขนมปังและเส้นพาสต้าที่ทำจากแป้งโฮลวีต และจำไว้ด้วยว่าผู้ร้ายที่คอยทำลายสุขภาพของคุณไม่ได้มีอยู่เฉพาะในของหวาน ในเครื่องดื่มก็มีเหมือนกัน ตัวอย่างเช่น เครื่องดื่มกระทิงแดง 1 กระป๋อง มีน้ำตาล 25 กรัม ขณะที่ชาเย็นกระป๋องยี่ห้อหนึ่งมีน้ำตาลสูงถึง 46 กรัม!

กินทั้งเปลือก
ไฟเบอร์ช่วยให้ระบบขับถ่ายของคนเราดำเนินไปอย่างราบรื่น แหล่งไฟเบอร์ที่อุดมสมบูรณ์คือผักและผลไม้ รวมทั้งถั่วต่างๆ นอกจากมีไฟเบอร์อยู่ตรงเปลือก เม็ดถั่วยังเต็มไปด้วยโปรตีน ซึ่งจะช่วยให้คุณอิ่มนานขึ้น คุณจึงไม่ต้องวิ่งหาของกินอีก หลังจากผ่านมื้อเที่ยงไปเพียง 1-2 ชั่วโมง

กินช้าๆ
เวลาที่กลืนอาหารลงท้อง คุณกำลังกลืนอากาศลงไปด้วย หากไม่อยากจะท้องป่องเหมือนลูกโป่ง คุณควรกินช้าๆและคำเล็กๆ ลองพยายามวางช้อนลงตอนที่เคี้ยวอาหาร มันจะช่วยให้คุณกินอาหารช้ากว่าปกติ นอกจากท้องไม่ป่อง การกินช้าๆ ยังช่วยให้รับรสอาหารอย่างเต็มที่ รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น และได้รับแคลอรี่ลดต่ำลง

………อย่างนี้อย่าทำ

อย่าเคี้ยวอาหารนานเกินไป เพราะมันไม่ช่วยให้หน้าท้องคุณแฟบลง ปล่อยให้การเคี้ยวเอื้องเป็นหน้าที่ของวัวควายต่อไปเหอะ ทางที่ดีคุณควรออกไปวิ่งหรือปั่นจักรยานเพื่อเผาผลาญพลังงาน

อย่ากินอาหารตามกระแสนิยม เช่น อาหารไขมันสูง (High-fat) หรือคาร์โบไฮเดรตต่ำ (Low-carb) เพราะมันจะกระตุ้นให้คุณสวาปามเนื้อและชีสเข้าไปมากผิดปกติ ทำให้มีแก๊สในท้อง แค่คุณกินอาหารน้อยๆ และกินอย่างฉลาดก็พอแล้ว

อย่าดื่มเบียร์เหมือนดื่มน้ำ ไม่ว่าเพื่อลืมทุกข์หรือยิ้มรับความสุข เพราะการดื่มเบียร์จะก่อให้เกิดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในท้อง แม้เบียร์แก้วสองแก้วอาจไม่ทำให้เกิดฟองอากาศในกระเพาะ แต่เบียร์แก้วหนึ่งก็ให้พลังงานสูงถึง 90 แคลอรี ถ้าอยากดื่ม คุณควรตัดปัญหาเรื่องพลังงานส่วนเกิน ด้วยการดื่มค็อกเทลผสมไดเอทโทนิกหรือน้ำแร่จะดีกว่า

ที่มา : www.ladyfogus.com